วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

VSCOcam


VSCOcam เป็นแอพพลิเคชันที่นักถ่ายภาพแนวศิลปะรู้จักกัน
เป็นอย่างดี ซึ่งประกอบไปด้วยฟิลเตอร์พื้นฐานมากมาย 
และยังมีให้โหลดเพิ่มเติมอีกเพียบ อีกทั้งยังมีเครื่องมือปรับแต่งรูป
อันหลากหลาย ครบครัน และทรงพลัง ให้เราครีเอทภาพถ่าย
ได้ตามใจชอบ และสวยงามตรงตามสไตล์ของเรา 
เพื่อแสดงความเป็นตัวเราอย่างแท้จริง

เราจะมาพูดถึงส่วนของการปรับแต่งรูปกัน

•เมื่อเปิดแอพฯ
เราจะพบหน้าแรกดังรูป แล้วให้เลือกตัวเลือกที่ 3 ซึ่งเป็น
สัญลักษณ์รูป สี่เหลี่ยมจตุรัสว่างเปล่า

•คลังรูปของเรา
เมื่อเห็นคลังรูปดังภาพแล้ว ให้กดปุ่มบวกที่อยู่ส่วนบนของหน้าแอพ

•เลือกรูปกัน
เมื่อเปิดมาเจอคลังภาพ พอเลือกภาพที่ต้องการได้แล้ว 
ให้กดเครื่องหมายถูก หรือกดที่รูปนั้น 2 ครั้ง เพื่อเข้าสู่
เครื่องมือการแต่งภาพ

•ดูซิว่ามีอะไรบ้าง?
ไล่จากปุ่มทางซ้าย  อันแรกคือปุ่มยกเลิก เมื่อต้องการย้อนกลับไป
เลือกรูปใหม่ ปุ่มต่อมา คือเครื่องมือแต่งรูป(ซึ่งเราจะเลือกอันนี้) ปุ่มต่อมา ตรงกลางคือปุ่มย้อนกลับไปเริ่มใหม่ ต่อมาเป็นปุ่มแชร์ สามารถเลือกได้ว่าจะแชร์ไปที่ใด และสุดท้ายปุ่มลบภาพ 
เมื่อเราไม่ต้องการ

•มาแต่งภาพกัน
เมื่อเปิดมาเราจะพบกับฟิลเตอร์ต่างๆมากมาย  และยังเลื่อน
ไปทางซ้ายเพื่อดูฟิลเตอร์เพิ่มเติม

•เลือกฟิลเตอร์ที่คิดว่าตรงกับสไตล์เรา

ขอเลือกเป็น F2 แล้วกันนะ

•หากฟิลเตอร์เข้มเกินไป?
ก็ปรับลดได้โดยการกดไปที่ฟิลเตอร์ที่เราเลือกอีกครั้ง ก็จะแสดงระดับความเข้มของฟิลเตอร์ได้ 12 ระดับ 

•ปรับแต่งเสร็จสิ้น
ก็กดที่แถบสามเหลี่ยมด้านล่างจอ แล้วจะมีตัวเลือกให้กากบาทกับติ๊กถูก เลือกถูก ถ้าพอใจแล้ว หรือกากบาท เพื่อยกเลิกการแต่งรูป

•บันทึกเลย!
เมื่อกดปุ่มก่อนสุดท้ายของแอพ(จากทางซ้าย)
จะมีเมนูการแชร์ปรากฎขึ้นมา ให้เราเลือกอะไรก็ได้ แต่เราจะเลือกการแชร์เข้าสู่คลังภาพ ก็คือตัวเลือกที่ 2

•เลือกความละเอียด
สามารถเลือกขนาดไฟล์ที่เราต้องการบันทึกได้ ซึ่งเราจะเลือก Actual Size ก็คือขนาดเต็ม

•เสร็จสิ้น พร้อมใช้ต่อ
เสร็จเรียบร้อย 
รูปก็จะถูกบันทึกลงในคลังภาพ พร้อมนำไปใช้ต่อ!

•เปรียบเทียบ
จะได้ประมาณนี้

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านน้า..

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์



คอมพิวเตอร์คือ...?


คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์"



ตอนนี้เราพอเข้าใจแล้วว่าคอมพิวเตอร์คืออะไร อย่างนั้นเรามารู้จักระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์กันต่อเลยดีกว่า...!

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์



          ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์( Computer Network ) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล หรือสื่ออื่นๆ ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถรับส่งข้อมูลแก่กันและกันได้ในกรณีที่เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลาง เราเรียกคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์กลางนี้ว่า โฮสต์ (Host) และเรียกคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เข้ามาเชื่อมต่อว่า ไคลเอนต์ (Client)ระบบเครือข่าย (Network) จะเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเพื่อการติดต่อสื่อสาร เราสามารถส่งข้อมูลภายในอาคาร หรือข้ามระหว่างเมืองไปจนถึงอีกซีกหนึ่งของโลก ซึ่งข้อมูลต่างๆ อาจเป็นทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง ก่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็วแก่ผู้ใช้ ซึ่งความสามารถเหล่านี้ทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีความสำคัญ และจำเป็นต่อการใช้งานในแวดวงต่างๆ


ทำให้ใช้ทรัพยากร ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ร่วมกันได้ (Resources Sharing) ซึ่งเป็นการช่วย ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความสะดวก ในการใช้งาน เช่น การใช้พื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ และเครื่องพิมพ์ร่วมกันสามารถบริหารจัดการการทำงานของคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ได้จากศูนย์กลาง (Centralized Management) เช่น สร้างเวิร์กกรุป กำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล และสามารถทำการ สำรองข้อมูล ของแต่ละเครื่องได้ สามารถทำการสื่อสาร ภายในเครือข่าย (Communication) ได้หลายรูปแบบ เช่น อีเมล์, แชท (Chat), การประชุมทางไกล (Teleconference), และ การประชุมทางไกล แบบเห็นภาพ (Video Conference)มีระบบรักษาความปลอดภัย ของข้อมูล บนเครือข่าย (Network Security) เช่นสามารถ ระบุผู้ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล ในระดับต่างๆ ป้องกันผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาติ เข้าถึงข้อมูล และให้การคุ้มครอง ข้อมูลที่สำคัญ ให้ความบันเทิงไม่รู้จบ (Entertainment) เช่น สามารถสนุกกับ การเล่นเกมส์ แบบผู้เล่นหลายคน หรือที่เรียกว่า มัลติ เพลเยอร์(Multi Player) ที่กำลัง เป็นที่นิยมกันอยู่ในเวลานี้ได้
ใช้งานอินเทอร์เน็ตร่วมกัน (Internet Sharing) เพียงต่อเข้าอินเทอร์เน็ต จากเครื่องหนึ่งในเครือข่าย โดยมีแอคเคาท์เพียงหนึ่งแอคเคาท์ ก็ทำให้ผู้ใช้อีกหลายคน ในเครือข่ายเดียวกัน สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ เสมือนกับมีหลายแอคเคาท์
ฯลฯ


ระบบเครือข่ายชนิดต่างๆ
ระบบเครือข่าย สามารถเรียกได้ หลายวิธี เช่นตามรูปแบบ การเชื่อมต่อ (Topology) เช่น แบบบัส (bus), แบบดาว (star), แบบวงแหวน (ring) หรือจะเรึยกตามขนาด หรือระยะทางของระบบก็ได้ เช่นแลน (LAN), แวน (WAN), แมน (MAN) นอกจากนี้ ระบบเครือข่าย ยังสามารถ เรียกได้ตาม เทคโนโลยีที่ไช้ ในการส่งผ่านข้อมูล เช่น เครือข่าย TCP/IP, เครือข่าย IPX, เครือข่าย SNA หรือเรียกตาม ชนิดของข้อมูล ที่มีการส่งผ่าน เช่นเครือข่าย เสียงและวิดีโอ
เรายังสามารถจำแนกเครือข่ายได้ ตามกลุ่มที่ใช้เครือข่าย เช่น อินเตอร์เน็ต (Internet), เอ็กซ์ตร้าเน็ต (Extranet), อินทราเน็ต (Intranet), เครือข่ายเสมือน (Virtual Private Network) หรือเรียก ตามวิธีการ เชื่อมต่อทางกายภาพ เช่นเครือข่าย เส้นใยนำแสง, เครือข่ายสายโทรศัพท์, เครือข่ายไร้สาย เป็นต้น จะเห็นได้ว่า เราสามารถจำแนก ระบบเครือข่าย ได้หลากหลายวิธี ตามแต่ว่า เราจะพูดถึง เครือข่ายนั้นในแง่มุมใด เราจำแนก ระบบเครือข่าย ตามวิธีที่นิยมกัน 3 วิธีคือ รูปแบบการเชื่อมต่อ (Topology), รูปแบบการสื่อสาร (Protocol), และ สถาปัตยกรรมเครือข่าย (Architecture)



การจำแนกระบบเครือข่าย ตามรูปแบบการเชื่อมต่อ (Topology) จะบอกถึงรูปแบบ ที่ทำการ เชื่อมต่ออุปกรณ์ ในเครือข่ายเข้าด้วยกัน ซึ่งมีรูปแบบที่นิยมกัน 3 วิธีคือ


แบบบัส (bus)
แบบบัส (bus)
ในระบบเครือข่าย โทโปโลยีแบบ BUS นับว่าเป็นแบบโทโปโลยีที่ได้รับความนิยมใช้กันมากที่สุดมา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือสามารถติดตั้งระบบ ดูแลรักษา และติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมได้ง่าย ไม่ต้องใช้เทคนิคที่ยุ่งยากซับซ้อน ลักษณะการทำงานของเครือข่ายโทโปโลยีแบบ BUS คืออุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลัก ที่เรียกว่า "บัส" (BUS) เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปให้ยังอีกโหนด หนึ่งภายในเครือข่าย ข้อมูลจากโหนดผู้ส่ง จะถูกส่งเข้าสู่สายบัส ในรูปของแพ็กเกจ ซึ่งแต่ละแพ็กเกจจะประกอบด้วยตำแหน่งของ ผู้ส่งและผู้รับ และข้อมูล การสื่อสารภายในสายบัส จะเป็นแบบ 2 ทิศทางแยกไปยังปลายทั้ง 2 ด้านของบัส โดยตรงปลายทั้ง 2 ด้านของบัสจะมีเทอร์มิเนเตอร์ (Terminator) ทำหน้าที่ดูดกลืนสัญญาณ เพื่อป้องกันไม่ให้สัญญาณข้อมูลนั้นสะท้อนกลับ เข้ามายังบัสอีก เป็นการป้องกันการชนกันของสัญญาณ ข้อมูลอื่น ๆ ที่เดินทางอยู่บนบัส สัญญาณข้อมูลจากโหนดผู้ส่ง เมื่อเข้าสู่บัสจะไหลผ่านไปยังปลายทั้ง 2 ข้างของบัส แต่ละโหนดที่เชื่อมต่อเข้ากับบัส จะคอยตรวจดูว่าตำแหน่งปลายทาง ที่มากับแพ็กเกจข้อมูลนั้น ตรงกับตำแหน่งของตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะรับข้อมูลนั้นเข้ามาสู่โหนดตน แต่ถ้าไม่ใช่ ก็จะปล่อยให้สัญญาณข้อมูลนั้นผ่านไป จะเห็นว่าทุก ๆ โหนดภายในเครือข่ายแบบ BUS นั้นสามารถรับรู้สัญญาณข้อมูลได้ แต่จะมีเพียงโหนดปลายทางเพียงโหนดเดียวเท่านั้น ที่จะรับข้อมูลนั้นไปได้
การควบคุมการสื่อสารภายในเครือข่ายแบบ BUS มี 2 แบบคือ แบบควบคุมด้วยศูนย์กลาง (Centralized) ซึ่งจะมีโหนดหนึ่ง ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมการสื่อสารภายในเครือข่าย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไฟล์เซิร์ฟเวอร์ การควบคุมแบบกระจาย (Distributed) ทุก ๆ โหนดภายในเครือข่าย จะมีสิทธิในการควบคุมการสื่อสาร แทนที่จะ เป็นศูนย์กลางควบคุมเพียงโหนดเดียว ซึ่งโดยทั่วไปคู่โหนดที่กำลังทำการส่ง-รับ ข้อมูลกันอย ู่จะเป็นผู้ควบคุมการสื่อสารในเวลานั้นข้อดีข้อเสียของโทโปโลยีแบบบัส




แบบดาว (star)
แบบดาว (star)
เป็นหลักการส่งและรับข้อมูล เหมือนกับระบบโทรศัพท์ การควบคุมจะทำโดยสถานีศูนย์กลาง ทำหน้าที่เป็นตัวสวิตชิ่ง ข้อมูลทั้งหมดในระบบเครือข่าย จะต้องผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง (Center Comtuper) เป็นการเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสาร ที่มีลักษณะคล้ายกับรูปดาว (STAR) หลายแฉก โดยมีศูนย์กลางของดาว หรือฮับ เป็นจุดผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย ศูนย์กลาง จึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการสื่อสารทั้งหมด นอกจากนี้ศูนย์กลางยังทำหน้าที่ เป็นศูนย์กลางข้อมูลอีกด้วย
การสื่อสารภายในเครือข่ายแบบ STAR จะเป็นแบบ 2 ทิศทาง โดยจะอนุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้น ที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ จึงไม่มีโอกาสที่หลายๆ โหนดจะส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน เพื่อป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูล เครือข่ายแบบ STAR เป็นโทโปโลยี อีกแบบหนึ่ง ที่เป็นที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน ข้อดีของเครือข่ายแบบ STAR คือการติดตั้งเครือข่ายและการดูแลรักษาทำได้ง่าย หากมีโหนดใดเกิดความเสียหาย ก็สามารถตรวจสอบได้ง่าย และศูนย์กลางสามารถตัดโหนดนั้นออกจากการสื่อสาร ในเครือข่ายได้




แบบวงแหวน (ring)
แบบวงแหวน (ring)

เครือข่ายแบบ RING เป็นการส่งข่าวสารที่ส่งผ่านไปในเครือข่าย ข้อมูลข่าวสารจะไหลวนอยู่ในเครือข่าย ไปในทิศทางเดียว เหมือนวงแหวน หรือ RING นั่นเอง โดยไม่มีจุดปลาย หรือเทอร์มิเนเตอร์ เช่นเดียวกับเครือข่ายแบบ BUS ในแต่ละโหนดหรือสเตชั่น จะมีรีพีตเตอร์ประจำโหนด 1 เครื่อง ซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข่าวสารที่จำเป็นต่อการสื่อสาร ในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล สำหรับการส่งข้อมูลออกจากโหนด และมีหน้าที่รับแพ็กเกจข้อมูล ที่ไหลผ่านมาจากสายสื่อสาร เพื่อตรวจสอบว่าเป็นข้อมูล ที่ส่งมาให้โหนดตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะคัดลอกข้อมูลทั้งหมดนั้น ส่งต่อไปให้กับโหนดของตน แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยังรีพีตเตอร์ของโหนดถัดไป




โทโปโลยีแบบผสม (Hybridge Topology)

โทโปโลยีแบบผสม (Hybridge Topology)
เป็นเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลแบบผสมระหว่างเครือข่ายแบบใดแบบหนึ่งหรือมากกว่า เพื่อความถูกต้องแน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการและภาพรวมขององค์กร

ขอบคุณเนื้อหาจาก saithammachannetwork.blogspot.com

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิเคราะห์ข้อสอบ O-NET คอมพิวเตอร์ ( 5 ข้อ )


(รูปโดย flickr.com)


วิเคราะห์ข้อสอบ O-NET ปี 53 จำนวน 5 ข้อ


          1. ข้อใดไม่ใช่ระบบปฏิบัติการที่นํามาใช้บนอุปกรณ์พกพาประเภท Smartphone 

            1. Ubuntu 
       
            2. iPhone OS 

            3. Android 

            4. Symbian

          เฉลย ข้อ 1 เพราะ Ubuntu แรกเริ่มนั้นเป็นระบบปฏิบัติการที่สร้างขึ้นเพื่อ

                   ใช้กับคอมพิวเตอร์ PC หรือ Desktop ต่อมาจึงได้พัฒนาต่อเพื่อใช้

                    กับอุปรณ์พกพา แต่ข้อสอบมีในยุคที่ทางนักพัฒนายังไม่พัฒนาให้

                   ใช้ได้กับอุปกรณ์พกพา จึงเลือกข้อนี้ที่ถูกต้องตามคำถาม

                    ส่วนข้ออื่นๆนั้น เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพามานานแล้ว




          2. ลิขสิทธิ์โปรแกรมประเภทรหัสเปิด (Open source) อนุญาตให้ผู้ใช้ทําอะไรได้บ้าง 

                 ก. นําโปรแกรมมาใช้งานโดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ 

                 ข. ทดลองใช้โปรแกรมก่อน ถ้าพอใจจึงจ่ายค่าลิขสิทธิ์ 
         
                 ค. แก้ไขปรับปรุงโปรแกรมเองได้    

            1. ข้อ ก. กับข้อ ค. 

            2. ข้อ ข. กับข้อ ค. 

            3. ข้อ ข. อย่างเดียว 

            4. ข้อ ก. อย่างเดียว

          เฉลย ข้อ 2 เพราะ ก. โดยส่วนใหญ่ของผู้พัฒนาโปรแกรมมักจะเปิดให้เอาโปรแกรม
                   
                   ไปใช้กันได้ฟรีๆ และข้อ ค. ผู้ที่สนใจโปรแกรมนอกจากจะสามารถโหลดไปใช้ได้

                   แล้วหากยังไม่พอใจก็สามารถปรับแต่งได้อีกตามใจชอบ ภายใต้ข้อตกลงของ

                   ผู้ผลิต ส่วนข้อ ข. ไม่ใช่ เพราะการจะนำโปรแกรมมาใช้ ผู้พัฒนาจะต้องมีข้อ

                   กำหนดก่อนการใช้อย่างชัดเจน



          3. ข้อใดเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักวิชาการเมื่อค้นคว้าหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต

              มาทํารายงาน 

            1. คัดลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์ 

            2. ใช้เนื้อหาจากกระดานสนทนา (web board) มาใส่ในรายงาน 

            3. นํารูปภาพจากเว็บไซต์มาใส่ในรายงาน 

            4. อ้างอิงชื่อผู้เขียนบทความ

          เฉลย ข้อ 4 เพราะการอ้างอิงชื่อผู้เขียนนั้น ถูกต้องตามพรบ.คอมพิวเตอร์ เนื่องจาก

                   เมื่อเราอ้างอิงชื่อผู้เขียน ถ้าหากผู้เขียนได้มาเห็นว่าเราเอาเนื้อหาไปใช้ 

                   แล้วไม่มีการให้ที่มา ผู้เขียนสามารถฟ้องร้องได้ เพราะเราไปคัดลอกความคิด 

                   และอาจถูกปรับได้โดยที่เราไม่รู้ตัว และ ข้ออื่นๆนั้น หากกระทำอาจมีความเสี่ยง

                   ต่อการมีความผิดตามพรบ.คอมพิวเตอร์ได้



          4. ห้องสมุดแห่งหนึ่งต้องการพัฒนาระบบการยืมหนังสือโดยสามารถบันทึกข้อมูล

              การยืมหนังสือลงบนบัตรอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ต้องเขียนด้วยมือ ระบบนี้ควรใช้

              เทคโนโลยีในข้อใด 

            1. Smart Card 

            2. Fingerprint 

            3. Barcode 

            4. Wifi

          เฉลย ข้อ 1 เพราะภายใน Smart Card นั้น จะถูกฝังชิพไมโครโปรเซสเซอร์ 

                  ซึ่งสามารถบันทึกข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งตรงกับข้อ 1 ส่วนข้ออื่นๆนั้น 

                  ไม่เป็นการบันทึก อย่างข้อ 2 นั้นเป็นการสแกนนิ้วมือ ซึ่งเหมือนเป็นตัวยีนยัน

                  ข้อมูลว่าเป็นตัวเรา แต่ไม่มีการบันทึก ส่วนข้อ 3 บาร์โค้ดนั้นเป็นตัวแค่บ่งบอก

                  ว่าของชั้นนั้นรหัสอะไร แล้วจะนำรหัสไปเชื่อมต่อกับข้อมูลกลางเพื่อหาว่า

                  ข้อมูลของของชิ้นนี้เป็นอย่างไร และข้อ 4 Wifi นั้นเป็นการส่งข้อมูลไร้สาย 

                  ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับโจทย์ จึงตอบข้อ 1



          5. ข้อใดเป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อข้อมูลไร้สายทั้งหมด 

            1. Wifi IP 

            2. Wifi Bluetooth 

            3. 3G ADSL 

            4. 3D Ethernet

          เฉลย ข้อ 2 เพราะเห็นอย่างได้ชัดว่า Wifi และ Bluetooth เป็นระบบไร้สาย 

                    เราใช้อยู่แทบทุกวัน จึงคุ้นเคยว่าทั้งสองเทคโนโลยีเป็นการเชื่อมต่อ

                    แบบไร้สาย ส่วนข้อ 1 IP เป็นการเชื่อมต่อโดยใช้สาย เช่นเดียวกับ ADSL 

                    และ Ethernet ในข้อ 3 และข้อ 4 ดังนั้น จึงเลือกข้อ 2 เป็นคำตอบ

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

NEW JIEW


(รูปโดย lyrics.im)

         เรื่องที่อยากจะมาแบ่งปันในครั้งนี้คือ "นิวจิ๋ว" หรือที่รู้จักในนามว่า " NJ " เอาล่ะมาอ่านกันว่าเจ้าของบล็อกรู้จัก ได้อย่างไร

มารู้จักชื่อคนในรูปทางซ้ายกัน...                 

- นิว นภัสสร  ภูธรใจ    (ซ้าย) 
- จิ๋ว ปิยนุช    เสือจงพรู (ขวา)
  
ทั้งคู่นั้นได้ประกวดเดอะสตาร์เป็นปีแรก นิวเป็นผู้ชวนจิ๋วไปประกวด ซึ่งนิวได้รางวัลรองชนะเลิสอันดับ 3 (ที่ 4) และ จิ๋วได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 (ที่ 2)






มาพูดถึงเรื่องเนื้อเสียงกันเถอะ..

    นิวนั้นมีเอกลักษณ์ของเสียง คือ มีการสั่นในเนื้อเสียง แฝงอารมณ์เศร้า ประชดประชัน ในเพลงช้า การหลบเสียง และการใช้เสียงสูง ถนัดการร้องลูกทุ่ง การเอื้อน การดึงเสียงลงต่ำ และเทคนิคในการหวีดเสียง (Whistle Register) ได้ถึงโน้ต G6 ซึ่งนิวมีความกว้างของเสียงที่ 3.4 ออกเตฟ (Eb3 - G6)

    จิ๋วนั้นมีเอกลักษณ์ของเสียง คือ การใช้เสียงเต็มที่สูงมากและทรงพลัง การหลบเสียง ซึ่งกระชากอารมณ์ได้เป็นอย่างดี และยังใช้เสียงแผด เสียงคำราม เสียงหวีด และสามารถร้องเพลงแนวโอเปร่าห์
ได้ดี อีกทั้งการร้องเพลงสากลที่เก็บแทบทุกโน้ต ซึ่งจิ๋วมีความกว้างของเสียงที่ 3.7 ออกเตฟ (B2 - F#6)

(รูปโดย GQ Magazine Thailand)

ความประทับที่มีต่อทั้งสองนี้คือเริ่มจากการฟังเพลงซึ่งเพลงแรกๆที่ฟังน่าจะเป็นเพลงอย่าเอาความเหงามาลงที่ฉัน ตอนแรกที่ฟังก็รู้สึกเฉยๆแต่พอได้ฟังไปเรื่อยๆก็มีความรู้สึกชอบและหาเพลงอื่นที่ศิลปินได้เคยร้องฟัง จนทำให้เรารู้สึกชอบในวิธีการร้องต่างๆนาๆของศิลปิน ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว การสื่อสารผ่านบทเพลงที่ชัดเจน จึงทำให้ชอบทั้งสองคนนี้

ครั้งแรกที่ได้พบเจอ : NJ'S STORY CONCERT คือคอนเสิร์ตครั้งแรกของนิวจิ๋วที่จะได้จัดขึ้นจำได้ว่ารู้สึกประทับใจตั้งแต่เพลงแรกจนเพลงสุดท้ายเพราะสิ่งที่คอนเสิร์ตนี้สื่อให้กับผู้ที่ชมคือเส้นทางของการเป็นศิลปินตลอด10ที่ได้เดินทางมาว่าต้องผ่านอะไรมากมาย จึงทำให้รู้สึกเป็นการเจอกันที่แสนพิเศษและประทับใจ ติดตราตึงใจเสมอมา จนทำให้เราได้ติดตามผลงานไปให้กำลังใจถ่ายรูปในที่ต่างๆจนถึงปัจจุบัน




(รูปโดย music.sanook.com)
(รูปโดย musicstation.kapook.com)
(รูปโดย prsociety.net)
(รูปโดย music.mthai.com)
(รูปโดย whatphone.tv)


(รูปโดย new.gmember.com)
(รูปโดย bloggang.com)


(รูปโดย music.mthai.com)